ร้อยไหม
ร้อยไหม เป็นคำที่ผู้ที่อยู่ในวงการเสริมความงามได้ยินมาอย่างยาวนาน ถูกพูดถึงในเรื่องของการช่วยยกกระชับ ปรับหน้าเรียว โดยไม่ต้องผ่าตัด การร้อยไหมได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านของเทคนิคการร้อย วัสดุที่ใช้ทำเส้นไหม รวมถึงลักษณะของเส้นไหม ทำให้หลาย ๆ คนยังเกิดความสับสนและไม่เข้าใจการร้อยไหมอยู่ครับ
คำถามที่หมอได้รับบ่อย ๆ เกี่ยวกับการร้อยไหม มักจะถามว่า การร้อยไหม คืออะไร ร้อยไหมตำแหน่งไหนได้บ้าง การร้อยไหมช่วยเรื่องอะไรบ้าง เหมาะกับใคร ไหมมีกี่ประเภท แต่ละแบบมีข้อดี – ข้อเสียอย่างไร หลังร้อยไหมอยู่ได้นานไหม บวมกี่วัน กี่วันเห็นผล ทำกี่ครั้งเห็นผล และราคาเท่าไร ทุกคำถาม สามารถหาคำตอบได้ในบทความนี้ครับ
สารบัญ ร้อยไหม
- ร้อยไหม
- ร้อยไหม คืออะไร ?
- ร้อยไหม ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ?
- วิธีการร้อยไหม ทำอย่างไร ?
- ร้อยไหม ตำแหน่งไหนได้บ้าง ?
- ไหมมีกี่ชนิด ? มีคุณสมบัติแตกต่างกันอย่างไร ?
- ร้อยไหม เหมาะกับใครบ้าง ?
- ร้อยไหมแต่ละตำแหน่งต้องใช้กี่เส้น ?
- ข้อควรรู้ และการเตรียมตัวก่อนการร้อยไหม
- ก่อนร้อยไหม ต้องฉีดยาชาไหม ?
- ร้อยไหม ได้ผลจริงไหม ?
- ร้อยไหม รีวิว
- ข้อห้ามและการปฏิบัติตัวหลังจากร้อยไหม
- ร้อยไหมพักฟื้นกี่วัน ?
- ร้อยไหมหน้าบวมกี่วัน ?
- ร้อยไหมกี่วันเห็นผล ?
- ร้อยไหมต้องทำกี่ครั้ง ? จึงจะเห็นผล
- ร้อยไหมอยู่ได้นานไหม ? กี่เดือน/ปี ถึงจะละลาย
- ข้อดีของการร้อยไหม
- การร้อยไหมมีผลเสียไหม ?
- ผลข้างเคียงของการร้อยไหม
- ปัญหาที่อาจพบจากการร้อยไหม
- ร้อยไหมดีไหม ?
- ร้อยไหม Hifu Ulthera ฉีดฟิลเลอร์ ฉีดโบท็อก อันไหนดีกว่ากัน แตกต่างกันอย่างไร ?
- ทำอย่างอื่นควบคู่ไปกับการร้อยไหมได้ไหม ?
- ร้อยไหมที่ไหนดี ?
- ร้อยไหมราคา
- Q&A การร้อยไหม
- สรุป
ร้อยไหม
การร้อยไหม เป็นวิธีการยกกระชับแบบ non-surgical procedure ไม่ต้องผ่าตัด โดยเริ่มมีมาตั้งแต่ปี 1990 ในประเทศแถบยุโรป โดยแรกเริ่มนั้นจะใช้ไหมที่ไม่สามารถละลายได้ (non-absorbable materials) แต่มีปัญหาการอักเสบติดเชื้อ และเป็นพังผืดจำนวนมาก จึงค่อย ๆ ลดความนิยมไป
จากนั้นได้มีการนำไหมวัสดุที่สามารถละลายได้เองในร่างกาย (biodegradable threads) มาใช้ร้อยแทนวัสดุเดิม จึงเห็นผลว่ามีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น จำนวนเคสที่อักเสบติดเชื้อลดลง และยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิวทำให้เห็นผลได้ยาวนานยิ่งขึ้น จึงกลับมาเป็นที่นิยมในปัจจุบันครับ
ร้อยไหม คืออะไร ?
ร้อยไหมคือ การนำไหมละลาย (Absorbable sutures) สอดเข้าไปใต้ชั้นผิวเป็นแนวหรือตาข่าย ไหมละลายจะช่วยดึงยกผิวในบริเวณที่ร้อย ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน จึงช่วยในเรื่องการยกกระชับ ยกแก้มที่หย่อนคล้อย ปรับหน้าเรียว ฟื้นฟูผิวลดเลือนริ้วรอย รวมถึงการยกคิ้ว ร้อยไหมยกหางตา และร้อยไหมจมูกเพิ่มความคมชัดของสันจมูกได้ครับ
สิ่งที่จะทำให้ไหมแต่ละชนิดแตกต่างกัน หลัก ๆ คือ วัสดุที่ใช้ในการทำเส้นไหมละลาย และลักษณะของเส้นไหมครับ โดยหมอสรุปสั้น ๆ ได้ ดังนี้
แบ่งตามวัสดุที่ใช้ทำเส้นไหม
- ไหมละลายวัสดุ PDO (Polydioxanone) เป็นไหมเส้นสีน้ำเงิน ยืดหยุ่นปานกลาง ไม่เปราะหักง่าย กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ดี ไหมละลายหมดประมาณ 6 เดือน
- ไหมละลายวัสดุ PLLA (Poly-L-Lactic Acid) ไหมเส้นสีขาว ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ดีที่สุด ทนแรงดึงได้ดี แต่เปราะหักง่าย ละลายหมดใน 1 ปี แต่ด้วยความที่หักขาดง่าย จึงประคองงผิวได้ไม่ถึง 1 ปี ครับ
- ไหมละลายวัสดุ PCL (Polycaprolactone) ไหมเส้นใหญ่สีขาว มีจุดเด่นคือยืดหยุ่นสูงที่สุด ไม่เปราะหักง่าย ไหมจะละลายหมดใน 12 – 18 เดือน แต่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ไม่ดีเท่าไหม PLLA ปัจจุบันจึงนำ PLLA มาผสมในไหม PCL ทำให้ได้ไหมที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ดีและอยู่ได้นาน ไหมวัสดุ PCL+PLLA จึงเป็นที่นิยมและคุณสมบัติดีที่สุดในปัจจุบันครับ
แบ่งตามลักษณะของเส้นไหม
- ไหมเรียบ (Mono threads) คือเส้นไหมยาวตรงเรียบ ๆ ไม่มีปุ่ม เกลียว หรือเงี่ยงออกมาจากเส้นไหม นิยมใช้ร้อยเพื่อเติมผิวคล้าย ๆ ฟิลเลอร์ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในจุดที่ร้อย ทำให้ผิวอิ่มฟูขึ้น ช่วยลดริ้วรอยร่องลึก ช่วยกระชับผิวได้เล็กน้อย แต่ไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบันเพราะต้องร้อยซ้อนกันหลายเส้น ทำให้เกิดพังผืดได้ง่าย
- ไหมเงี่ยงหรือไหมก้างปลา (Cog threads/Barbed threads) เป็นไหมละลายที่มีเงี่ยงหรือปุ่มยื่นออกมาจากเส้นไหม เงี่ยงนี้จะทำหน้าที่คล้ายตะขอเกี่ยวผิวให้ยกขึ้น ช่วยยกกระชับแก้มที่หย่อนคล้อย ปรับหน้าเรียว เป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมครับ โดยแต่ละบริษัทผู้ผลิตไหมเงี่ยงจะพัฒนาลักษณะเงี่ยงและวิธีการผลิตเส้นไหมแตกต่างกันไป จึงอยู่ได้นานต่างกันครับ
ชนิดของไหม แบ่งตามวัสดุที่ใช้ทำเส้นไหม
- ไหมละลาย (Absorbable sutures)
ไหมละลาย เป็นเส้นไหมที่สามารถสลายได้ในร่างกายมนุษย์ ผ่านกระบวนการ Hydrolysis ตามธรรมชาติ ทำให้โมเลกุลของไหมเล็กลงจนร่างกายสามารถดูดซึมได้จนหมด ไม่มีสารตกค้างในร่างกาย เป็นเส้นไหมที่ได้รับการยอมรับและรับรองทางการแพทย์เพื่อใช้ในการเย็บแผลในร่างกายได้ จึงมั่นใจได้ในความปลอดภัยครับ
ไหมละลายที่นิยมใช้ในการปรับรูปหน้า ได้แก่ ไหม PDO, ไหม PCL และ ไหม PLLA นอกจากนี้ยังมีไหมวัสดุ PCL+PLLA ที่นำเอาข้อดีของไหมทั้งสองชนิดเข้าด้วยกัน หลังจากนำเส้นไหมร้อยเข้าชั้นผิว จะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนรอบเส้นไหม ผิวบริเวณที่ร้อยจะแน่นกระชับขึ้น และตัวเส้นไหมจะค่อย ๆ ละลายตามธรรมชาติ ระยะเวลาที่ประคองผิวได้และระยะเวลาที่ละลายจนหมดจะแตกต่างกันตามวัสดุที่ใช้ครับ
- ไหมไม่ละลาย
ไหมไม่ละลาย เป็นเส้นไหมที่ทำจากวัสดุที่ไม่สามารถสลายได้ในร่างกายมนุษย์ มักทำมาจากพลาสติกหรือโลหะ ส่วนใหญ่ถ้าร้อยเข้าชั้นผิวแล้วจะไม่สามารถนำเส้นไหมออกมาได้ครับ
ร้อยไหมทองคำ (Gold Thread) เป็นหนึ่งในไหมที่ไม่สามารถละลายได้ มีข้อมูลพบว่ามีการนำทองคำมาใช้เย็บแผลตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณ เส้นไหมผลิตด้วยทองคำบริสุทธิ์ 99.99% เส้นบาง เล็ก ขนาดประมาณเส้นผม ร้อยเป็นลักษณะโครงตาข่ายในชั้นผิวหนัง กระตุ้นให้ผิวบริเวณที่ร้อยถูกทำลายและสร้างเซลล์เนื้อเยื่อขึ้นมาใหม่ แต่ปัจจุบันไม่ผ่าน อย. ไม่ควรใช้ครับ เนื่องจากเส้นไหมมีโอกาสขาดง่าย เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นไหมที่ไม่ละลายจะเบียดเบียนเนื้อเยื่อผิวและกระดูก และไม่สามารถทำ MRI และเลเซอร์บางชนิดได้ครับ
และไหมไม่ละลายอีกชนิดหนึ่งที่พบว่ามีการนำมาใช้ คือไหมที่ทำจากพลาสติกชนิดพอลิโพรไพลีน (Polypropylene) เป็นไหมที่มีรูปทรงคล้ายไหมก้างปลา ราคาถูกกว่า แต่ไม่สามารถละลายได้เองและมีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก เช่น เกิดการอักเสบ ไหมขาด ไหมหักง่าย ไม่สามารถดึงรั้งผิวได้ถาวรตามโฆษณาเนื่องจากเงี่ยงมักจะหลุดออกก่อน หากเกิดปัญหาต้องผ่าตัดเอาออกเท่านั้น จึงไม่เป็นที่นิยมและหมอไม่แนะนำให้ใช้ครับ
ชนิดของไหมที่กล่าวข้างต้น หมอได้ใช้ชื่อไหมแบบทางการแบ่งตามวัสดุที่ใช้เพื่อให้เข้าใจได้ตรงกันมากที่สุดครับ แต่เราอาจจะเคยได้ยินชื่อไหมที่แตกต่างกันออกไป หมอได้รวบรวมชื่อไหมต่าง ๆ ได้ดังนี้ครับ
- ร้อยไหมคอลลาเจน
การร้อยไหมคอลลาเจน คือการใช้ไหมวัสดุ PDO แบบไหมเรียบ ร้อยเข้าชั้นผิวหรือริ้วรอยเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ช่วยเติมเต็มคล้ายกับการเติมฟิลเลอร์ ปัจจุบันไม่นิยม เนื่องจากเสี่ยงต่อการเกิดพังผืดได้ง่าย
- ร้อยไหมทอนาโด
ร้อยไหมทอร์นาโด คือการใช้ไหมเรียบที่มีลักษณะเป็นเกลียว 2 เส้นมาพันกันเป็นเกลียวแน่น เพื่อเพิ่มแรงยกของเส้นไหม ใช้ในการยกแก้มและผิวที่หย่อนคล้อย เติมผิวที่ยุบไม่สม่ำเสมอ
- ไหม8d
ไหม 8d เป็นไหมก้างปลาชนิดหนึ่ง มีเงี่ยงออกมาจากเส้นไหมโดยรอบทั้ง 360 องศา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเกี่ยวเนื้อเยื่อ นิยมใช้ในการยกแก้มที่หย่อน เก็บกรอบหน้าเรียว มีทั้งวัสดุ PDO และ PCL ครับ
- ร้อยไหมเกาหลี
ร้อยไหมเกาหลี มักใช้เป็นคำเรียกรวม ๆ ของเทคนิคการร้อยไหมที่มาจากประเทศเกาหลีครับ และเป็นเทรนด์ที่หลายคนอยากมีหน้าเรียวกระชับแบบสาวเกาหลี จึงมักใช้คำนี้ในการโฆษณาครับ
- ร้อยไหมปากฉลาม
การร้อยไหมปากฉลาม เป็นการใช้ไหมที่เป็นเงี่ยงสอดเข้าใต้ชั้นผิวเพื่อยกกระชับ โดยการผลิตเส้นไหมจะมีส่วนเงี่ยงที่ยื่นออกมาคล้ายการแกะสลัก (Sculturing) มีเงี่ยงล็อคผิวทั้ง 2 ทิศทาง และเส้นไหมมีความเว้าเข้าไปด้านใน เพื่อช่วยในการสร้างคอลลาเจนได้มากขึ้น
- ร้อยไหมละลาย
ร้อยไหมละลาย คือการเรียกชื่อการร้อยไหมที่ใช้วัสดุที่สลายได้ ได้แก่ PDO, PLLA และ PCL ครับ
- ร้อยไหมน้ำ
การร้อยไหมน้ำหรือฉีดไหมน้ำ คือการนำไหม PDO มาทำให้เป็นผงขนาดเล็ก แล้วนำไปละลายน้ำ จากนั้นนำมาฉีดเข้าสู่ชั้นผิวคล้ายการฉีดฟิลเลอร์ เป็นวิธีที่ไม่ค่อยได้รับความนิยม เพราะยังมีงานวิจัยที่ไม่มากพอครับ
- ร้อยไหมมิ้นท์
การร้อยไหมมิ้นท์ (MINT Lift) คือ การใช้ไหม PDO ที่มีลักษณะเส้นไหมแบบ 360-degree helical pattern มีเงี่ยงทรงกรวย เรียงเป็นเกลียวรอบเส้นไหม และด้วยกระบวนการผลิตที่ไม่ได้เฉือนเงี่ยงออกมาจากเส้นไหม แต่เป็นการสร้างเงี่ยงมาพร้อมกับเส้นไหม ทำให้ได้ไหมที่มีความแข็งแรง ทนต่อแรงดึง ช่วยยึดเกาะเซลล์ผิว ช่วยยกกระชับผิวได้ดี อยู่ได้นาน 6-8 เดือนครับ
- ร้อยไหม Tesslift
ไหม Tesslift หรือไหมโครงตาข่าย (Mesh Scaffold Thread Lift) คือไหมก้างปลาวัสดุ PDO ที่มีไหมลักษณะคล้ายตาข่ายคลุมรอบเส้นไหม เพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างคอลลาเจนของเซลล์ผิว ทำให้ผิวแน่นกระชับ และอยู่ได้นานขึ้นครับ
- ร้อยไหมเขี้ยวงู
ร้อยไหมเขี้ยวงู (Cobra cog) เป็นไหมที่มีการเฉือนเงี่ยงจากแกนไหมหลักคล้ายไหมก้างปลา แต่เป็นการตัดเงี่ยงให้มีลักษณะคล้ายเขี้ยวงู มีความหนาของเงี่ยงมากกว่าเงี่ยงก้างปลาธรรมดา ช่วยในเรื่องการเพิ่มแรงยกและการยึดเกาะกับผิวครับ มีทั้งวัสดุ PDO และ PCL ครับ
ร้อยไหม เหมาะกับใครบ้าง ?
- ผู้ที่ใบหน้าไม่ได้สัดส่วน ไม่มีมิติ ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวมากขึ้น
- ผู้ที่มีแก้มหย่อนคล้อย แก้มห้อย ส่วนใหญ่ปัญหานี้จะเกิดกับคนที่เริ่มมีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป (Older Skin) เนื่องจากจำนวน Elastin ในชั้นผิวลดน้อยลง
- ผู้ที่ยังมีอายุไม่เยอะ (Younger Skin) แต่รูปหน้ามีความหย่อนคล้อย ก็สามารถร้อยไหมได้เช่นกัน
กรณีผิวหนังหย่อนคล้อยมาก ๆ และมีการยุบของผิวตามวัย การร้อยไหมเพียงอย่างเดียวอาจไม่ช่วยลดความหย่อนคล้อยได้ทั้งหมด สามารถร้อยไหมร่วมกับทำหัตถการอื่น ๆ ได้ เช่น ใช้โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ หรือ Hifu ร่วมด้วยเพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นครับ
ร้อยไหมแต่ละตำแหน่งต้องใช้กี่เส้น ?
ต้องใช้ไหมกี่เส้น หมอจะทำการประเมินในแต่ละเคส โดยปกติจะร้อยไหมก้างปลาข้างละ 3 – 10 เส้นครับ โดยขึ้นอยู่กับ ขนาดเนื้อแก้มของคนไข้ ความแน่นของผิว จุดไหนบ้างที่คนไข้ต้องการดึง
ถ้าหากคนไข้ต้องการให้อยู่ได้นานขึ้นกว่าปกติ ก็สามารถใช้จำนวนเส้นที่เยอะขึ้นได้ คล้าย ๆ การยกของด้วยเชือกหลาย ๆ เส้นย่อมมั่นคงแข็งแรงขึ้น อยู่ได้นานขึ้นครับ
ข้อควรรู้ และการเตรียมตัวก่อนการร้อยไหม
- ปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินโครงสร้างใบหน้าและปัญหาที่ต้องการแก้ไข เพื่อวางแผนการรักษา
- เมื่อปรึกษาแพทย์เรียบร้อยแล้ว ถ้าพร้อมก็สามารถร้อยไหมได้เลยครับ ควรแจ้งประวัติการแพ้ยา วิตามินและยาที่ทานประจำ (ก่อนร้อยไหมควรงดยาและวิตามิน เช่น แอสไพริน, NSAIDs, ginseng และ Vitamin E)
- 24 ชั่วโมงก่อนร้อยไหม ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด
- ทางคลินิกจะมีการฉีดยาชาให้ก่อนร้อยไหม
ร้อยไหม ได้ผลจริงไหม ?
หลังร้อยไหมจะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงทันทีครับ โดยเฉพาะการร้อยไหมยกกระชับแก้ม หลังทำจะสังเกตได้ว่าใบหน้าเรียวขึ้น ยกกระชับขึ้นได้อย่างชัดเจน และเห็นผลชัดเจนเต็มที่ประมาณ 1 เดือน แต่การที่ผลลัพธ์หลังการร้อยไหมจะอยู่ได้นานหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเทคนิคการร้อยของแพทย์ ชนิดของไหมที่ใช้ ชั้นผิวและการดูแลตนเองหลังทำของคนไข้ด้วยครับ
ข้อห้ามและการปฏิบัติตัวหลังจากร้อยไหม
เพื่อให้ไม่เกิดผลข้างเคียง ลดอาการบวมช้ำให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด หมอมีแนวทางปฏิบัติ ตั้งแต่หลังทำทันที ไปจนถึง 1 เดือนหลังทำ เพื่อให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น ดังนี้
- 3 ชม.หลังทำ รอยเข็มที่ร้อยไหม/ฟิลเลอร์สามารถโดนน้ำได้ไม่เกิน 15 นาที สามารถล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน ๆ ได้
- 6 ชม.หลังทำ ยาชาจะเริ่มหายบวม ถ้ามีจุดไหนที่ยังบวมมาก ควรประคบเย็นช่วย และควรประคบเบา ๆ ไม่ควรกดแรง
- หลังทำ 24 ชม. จะเริ่มมีอาการบวมเข็มมากขึ้น จึงอาจทำให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับผลลัพธ์ หากต้องการเห็นผลชัดเจนขึ้น ต้องใช้ระยะเวลา ประมาณ 14 วัน ระหว่างนั้นไม่สามารถประเมินได้เพราะเป็นอาการบวมครับ
- หลังทำ 48 ชม. ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทหมักดอง ของดิบ แอลกอฮอล์ หรือของแสลง รวมถึงการสัมผัสความร้อน เช่น การเข้าซาวน่า หรือออกแดด ก็จะช่วยให้ยุบบวมได้ไวขึ้น
- หลังทำ 3 วัน อาการปวดบวมแดงช้ำจะเริ่มดีขึ้นและลดลง หากอาการมีแนวโน้มแย่ลงให้ติดต่อคลินิกเพื่อขอรับยากินเพิ่ม สามารถขยับใบหน้าได้เกือบเท่าปกติ ไหมจะเข้าที่แล้วประมาณ 90% แต่ยังไม่ควรกดนวดแรง ๆ
- หลังทำ 7-10 วัน รอยเขียวช้ำอาจจะยังมีอยู่จะค่อย ๆ จางลงเองใน 14 วัน ไม่ควรประคบร้อน
- หลังทำ 14 วัน อาการบวมจะหายไปเกือบ 100% สามารถออกกำลังกายได้ตามปกติ กินอาหารได้ปกติ และพยายามหลีกเลี่ยงความร้อน
- หลังทำ 1 เดือน วิธีดูแลหลังร้อยไหมดึงหน้า ไม่ควรอ้าปากกว้าง ๆ เช่น การอ้าปากทำฟัน หรือ การแปรงฟันแรง ๆ ในระยะ 1 เดือนหลังทำครับ
ร้อยไหมกี่วันเห็นผล ?
สามารถเห็นผลได้ทันทีหลังทำการร้อยไหม และจะค่อย ๆ เห็นผลชัดเจนขึ้นตามลำดับ
- คนไข้อาจมีอาการบวมแดงหรือเขียวช้ำเล็กน้อย หลังการร้อยไหม
- ประมาณ 3-4 วันแรกจะมีอาการบวมมากขึ้น
- สำหรับผู้ที่ร้อยไหมไปแล้วเป็นระยะเวลา 4 วัน แต่กลับมีอาการบวมแดงมากขึ้น แนะนำให้รีบกลับไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจประเมินอาการ และรับประทานยาแก้ปวด ลดบวมเพิ่ม
- อาการบวมจะยุบลงได้เอง ภายในช่วงเวลา 14 วัน
- ใบหน้าจะเรียวสวยได้รูปชัดเจน จะเข้าที่ ในช่วงเวลาประมาณ 1 เดือน
ข้อดีของการร้อยไหม
- ลดความหย่อนคล้อย ช่วยให้ใบหน้ากระชับขึ้น ริ้วรอยแลดูจางลง ใบหน้าได้สัดส่วน
- ปรับรูปหน้าเรียว V Shape ช่วยให้ผิวดูเต่งตึง อ่อนกว่าวัยโดยไม่ต้องผ่าตัด
- ประคองผิวคล้ายเส้นเอ็นบนใบหน้า หลังร้อยไหมจะเกิดเป็นเส้นใยอีลาสติน ช่วยประคองผิวหรือพยุงผิว
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ช่วยกระตุ้นเซลล์ที่มีหน้าที่สร้างเส้นใยคอลลาเจน ทำให้ผิวหน้าเต่งตึงกระชับ กระตุ้นการไหลเวียนโลหิตมาเลี้ยงชั้นผิวหนัง
- ปลอดภัย ไหมละลายหมด 100% ไหมที่มีคุณภาพ สามารถเข้ากันได้ดีกับผิวหนัง สลายได้ 100% โดยไม่มีสารตกค้าง
การร้อยไหมมีผลเสียไหม ?
ข้อเสียของการร้อยไหม
- หากร้อยไหมด้วยเทคนิคที่ไม่ถูกต้องหรือร้อยตื้นเกินไป จะเกิดรอยบุ๋มขึ้นตามแนวที่ร้อยไหมได้ หรือในเคสที่มีทรงหน้ามีโหนกแก้มเด่น หากร้อยไหมจะยิ่งทำให้โหนกแก้มเด่นขึ้นได้ ควรร้อยกับแพทย์ที่มีประสบการณ์เท่านั้น เพื่อที่จะประเมินและวางแนวทางการปรับรูปหน้าได้อย่างเหมาะสม
- เส้นไหมจะกระตุ้นให้ fibroblast (เซลล์สร้างคอลลาเจน) เกิดการสร้างเส้นใย collagen และ elastin แต่ถ้าซ้อนทับกันมากเกินไป และอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ถูกต้องก็จะเรียกว่า พังผืด (fibrosis) ถ้าอยู่ในผิวชั้นตื้นเกินไป ก็จะดึงรั้งผิวให้ผิดรูปได้
- ไม่ควรใช้การร้อยไหมเติมแทนฟิลเลอร์ เพราะการเติมเต็มร่องลึก เช่น ร่องใต้ตา ร่องแก้ม จะต้องใช้ปริมาณเส้นไหมจำนวนมากร้อยซ้อนทับกัน จะทำให้เกิดพังผืดได้ รวมถึงการนำไหมไปปั่นเป็นผงเล็ก ๆ (ไหมน้ำ) แล้วฉีดแทนฟิลเลอร์ อันนี้ก็ทำให้เกิดพังผืดเช่นกันครับ แนะนำเป็นการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ฟิลเลอร์ร่องแก้ม จะเห็นผลชัดเจนและไม่เสี่ยงต่อการเป็นพังผืดครับ
- การร้อยไหมอยู่ได้ไม่ถาวร ไหมละลายมีอายุ 4 เดือน-2 ปี ขึ้นกับชนิดของเส้นไหม แต่ถึงแม้ไหมจะยังละลายไม่หมด ในคนส่วนมาก เมื่อเวลาผ่านไป 6-8 เดือน ผิวก็จะหลุดออกจากเส้นไหมได้ก่อน ทำให้ผลลัพธ์อยู่ได้ไม่นานเท่าตามที่โฆษณา และไหมละลายบางชนิดที่อยู่ได้นาน แต่ขาดความยืดหยุ่น เมื่อเวลาผ่านไปจะเกิดการเคลื่อนตัวและทะลุโผล่ออกมานอกผิวหนังได้
ผลข้างเคียงของการร้อยไหม
หลังร้อยไหมอาจเกิดอาการบวมหรือมีรอยช้ำบริเวณรอยเข็มที่ร้อยได้เป็นปกติ และจะค่อย ๆ ยุบบวมดีขึ้นได้เองใน 1-2 สัปดาห์ กรณีนี้ไม่ถือว่าเป็นผลข้างเคียงจากการร้อยไหมครับ
ผลข้างเคียงอันตรายที่เกิดขึ้นได้มักจะมาจากเทคนิคการร้อยของแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ หรือทำกับหมอกระเป๋า การทำในคลินิกเถื่อน คลินิกที่ไม่ได้มาตรฐานครับ จึงอาจทำให้เกิดไหมทะลุ ไหมขาด มีการอักเสบของเนื้อเยื่อ เกิดการติดเชื้อได้ ซึ่งต้องระวังเป็นอย่างมากครับ
ปัญหาร้อยไหม
- ร้อยไหมแล้วหน้าบุ๋ม เกิดจากการขาดประสบการณ์ของแพทย์ที่ทำการร้อยไหม ทำให้ร้อยไหมแล้วหน้าบุ๋ม หรือหน้ายุบ สาเหตุเกิดได้จากการดึงเส้นไหมตึงเกินไป เมื่อผิวถูกดึงรั้งมาก จึงทำให้บุ๋มเป็นร่อง และยังเสี่ยงต่อการเกิดไหมขาดได้ง่าย เมื่อคนไข้ขยับกล้ามเนื้อบนใบหน้า
- ร้อยไหมแล้วหน้าเบี้ยว ปกติหลังร้อยไหมหน้าสองข้างจะสมมาตรกันครับ แต่บางครั้งที่คนไข้รู้สึกว่าหลังร้อยไหมแล้วหน้าเบี้ยว เกิดได้จากอาการบวมยาชา หรือแรงดึงของไหมที่ยกหน้าขึ้น จะค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติเมื่อผ่านไปประมาณ 2 ชั่วโมงครับ
- ร้อยไหมแล้วหน้าไม่เท่ากัน
- ร้อยไหมแล้วหน้าเป็นคลื่น เกิดจากดึงของเส้นไหม เมื่อจับหรือสัมผัสดูแล้วจะรู้สึกว่าผิวเป็นคลื่น ไม่เสมอกัน อาการจะเป็นอยู่สักระยะ หลังจากไหมเข้าที่แล้ว อาการก็จะหายไปได้เอง
- ร้อยไหมแล้วโหนกแก้มใหญ่
- ร้อยไหมแล้วหน้าไม่ยก
ร้อยไหมดีไหม ?
ร้อยไหมก้างปลาเป็นวิธีช่วยยกกระชับแก้มที่หย่อนคล้อย ปรับหน้าเรียว และยังสามารถร้อยเพื่อยกหางตา ยกหนังตา foxy eye หรือร้อยไหมจมูกได้อีกด้วย เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลาพักฟื้นหรือกลัวการผ่าตัด
การร้อยไหมได้รับการยอมรับว่าเป็นหัตถการที่ปลอดภัยและเห็นผลชัดเจน แต่การร้อยไหมจะดีหรือไม่นั้น ขึ้นกับรูปหน้าของคนไข้และเทคนิคการร้อยไหมของแพทย์ หากทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการปรับรูปหน้า ก็มั่นใจได้ว่าผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นไปตามความคาดหวังครับ
ร้อยไหมกับ Hifu/ Ulthera
ทั้งร้อยไหมและ HIFU/ Ulthera ต่างก็เป็นวิธีในการยกกระชับปรับหน้าเรียวที่ไม่ต้องผ่าตัด แต่การร้อยไหมจะช่วยดึงยกแก้มได้มากกว่า เห็นผลชัดเจนกว่า เหมาะสำหรับผู้ที่มีแก้มหย่อนเยอะครับ
ส่วน Hifu และ Ulthera เป็นการส่งคลื่นอัลตราซาวด์ เน้นการยกกระชับ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว เก็บรายละเอียดเล็ก ๆ ในบางจุดที่การร้อยไหมเข้าไม่ถึงครับ
ถ้ากลัวการร้อยไหม สามารถทำ Hifu แทนได้ครับ แต่จะให้ผลในการดึงยกได้ไม่เท่าการร้อยไหมนะครับ ช่วยยกกระชับได้ประมาณ 10-20%
ร้อยไหมกับฟิลเลอร์
ในอดีตมีการใช้ไหมเรียบร้อยซ้อนกันหลาย ๆ เส้นเพื่อเติมเต็มร่องลึก ลดริ้วรอย คล้ายกับการเติมฟิลเลอร์ แต่ผลที่ได้มักทำให้เกิดพังผืด จึงไม่นิยมใช้ครับ หากต้องการลดริ้วรอยหรือเติมเต็มจุดต่าง ๆ บนใบหน้า หมอจึงแนะนำฟิลเลอร์ที่เป็นสาร Hyaluronic acid มากกว่าครับ เพราะสลายได้เองตามธรรมชาติจนหมด ไม่ทำให้เกิดพังผืดครับ
ส่วนการร้อยไหมก้างปลา ไม่สามารถนำมาเทียบกับการปรับรูปหน้าด้วยฟิลเลอร์ได้ครับ เพราะช่วยแก้ไขปัญหารูปหน้าคนละจุด การร้อยไหมจะเน้นการยกกระชับแก้มที่หย่อนคล้อย ให้ดูเรียววีเชฟมากขึ้น ส่วนการฉีดฟิลเลอร์จะช่วยเติมเต็มจุดที่เว้าโค้ง หรือเติมเต็มเสริมกระดูกที่ยุบตัว เช่น ฟิลเลอร์ขมับ ฟิลเลอร์แก้มตอบ ฟิลเลอร์คาง เป็นต้นครับ
ร้อยไหมกับโบท็อก
ร้อยไหมกับโบท็อกไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบได้ว่าหัตถการไหนดีกว่ากันครับ เพราะขึ้นกับรูปหน้าของแต่ละคน โดยโบท็อกจะออกฤทธิ์ลดขนาดกราม เหมาะสำหรับคนที่มีกรามและต้องการปรับหน้าเรียว ส่วนร้อยไหมจะเหมาะกับผู้ที่มีแก้มหย่อนคล้อยมากกว่าครับ และไม่สามารถลดขนาดกล้ามเนื้อกรามได้ครับ
โดยทั้งสองหัตถการนี้สามารถทำควบคู่กันได้ ถ้ากล้ามเนื้อกรามไม่เยอะ สามารถร้อยไหมพร้อมกับโบท็อกได้เลยครับ เพื่อช่วยทั้งลดกรามและยกกระชับแก้ม
แต่กรณีที่กล้ามเนื้อกรามเยอะและแข็งมาก หมอแนะนำให้ฉีดโบท็อกก่อน พอกรามลงแล้วค่อยมาร้อยไหมเพิ่มเติม จะทำให้ยกแก้มได้เยอะขึ้น อยู่ได้นานขึ้นด้วยครับ แนะนำเว้นช่วง 2-4 สัปดาห์ครับ
ร้อยไหมที่ V Square Clinic ดีอย่างไร ?
ที่ V Square Clinic เลือกใช้เส้นไหมที่มีคุณภาพ เป็นไหมละลายผ่านการรับรองจาก FDA ทั้งในไทยและต่างประเทศว่ามีความปลอดภัย และให้ผลลัพธ์ดีในการยกกระชับหน้า
และเป็นคลินิกด้านความงามที่มีแพทย์มีประสบการณ์ในการดูแลเรื่องการปรับรูปหน้าและการดูแลผิวมาอย่างยาวนาน เน้นหลักความปลอดภัยใช้ผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์เครื่องมือที่ได้มาตรฐาน ห้องตรวจ ห้องทำหัตถการและภายในคลินิกสะอาด กว้างขวาง รวมถึงราคาที่สมเหตุสมผล
นอกจากนี้ยังมีการตรวจติดตามผลหลังทำ และสามารถปรึกษาแพทย์ได้ทันทีผ่านทางช่องทางออนไลน์ได้ทั้งก่อนและหลังทำครับ
Q&A การร้อยไหม
คนที่เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคไทรอยด์เป็นพิษ หรือมีประวัติแพ้ยา ควรแจ้งกับแพทย์ก่อนครับ เพื่อป้องกันผลข้างเคียง
หลังร้อยไหมควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เหล้า เบียร์ครับ เพราะแอลกอฮอล์ มีส่วนกระตุ้นให้ผิวอักเสบ ควรงดแอลกอฮอล์ ประมาณ 2 สัปดาห์ หรืออย่างน้อยที่สุด 3 วัน
เป็นอาการตึงไหมครับ เกิดจากเส้นไหมดึงยกกระชับผิวขึ้นไป โดยเฉพาะช่วง 1 สัปดาห์แรกหลังร้อยไหม จะอ้าปากลำบากหน่อย หายไปเองใน 2 สัปดาห์ หมอแนะนำไม่ควรอ้าปากกว้าง ๆ เช่น การอ้าปากทำฟัน หรือ การแปรงฟันแรง ๆ ในระยะ 1 เดือนหลังทำครับ
สรุป ร้อยไหม
การร้อยไหม (Thread Lifting) ในปัจจุบันมีไหมให้เลือกมากมายหลายชนิด ก่อนตัดสินใจร้อยไหมควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับชนิดของไหม ประโยชน์ ข้อดี-ข้อเสียในการร้อยไหม รวมถึงควรศึกษารายละเอียดของแต่ละคลินิก ว่าได้มาตรฐานหรือไม่ แพทย์มีประสบการณ์มากน้อยเพียงใด และดูรีวิวจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ เพื่อให้ผลลัพธ์ของการร้อยไหมตรงตามความตั้งใจ ปลอดภัย และอยู่ได้นานครับ
สำหรับผู้อ่านทุกท่านที่มีข้อสงสัยเพิ่มเติม ทีมแพทย์ V Square Clinic ทุกคนยินดีให้คำปรึกษาฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือสามารถปรึกษาหมอทาง Inbox Facebook หรือ Line นี้ได้เลยครับ หมอตอบเองครับ